(การศึกษาธรรมะเป็นสิ่งที่กำลังพูดถึงปรมัตถธรรมโดยอาศัยภาษาและความเข้าใจของโลกบัญญัติ ดังนั้นจึงไม่ใช่ง่ายเลยที่จะตอบคำถามธรรมได้ด้วยประโยคเดียว หรือแง่มุมเดียว จะเห็นได้ว่า หลาย ๆ ครั้ง อาจารย์เซนจึงมักตอบคำถามเป็นปริศนาธรรม ให้ลูกศิษย์ต้องไปพิจารณาขบคิดต่อเอง)
ฉะนั้นจงระลึกถึงเราตลอดเวลา และมุ่งอยู่กับสมรภูมิการงานตลอดไป จงวางจิตและความเข้าใจของเจ้าไว้ที่เรา เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมาสู่เราอย่างมิพักสงสัย (BG VIII : 7)
อรชุน:
ที่สุดของการทำงานทั้งมวล คือการสังหารตัวตนของเรา เพราะตัวตนอัตตานี้เป็นเหตุให้เกิดการติดข้อง ยึดมั่นถือมั่น ก่อให้เกิดการปรุงแต่งตามมา และก่อเกิดการเวียนว่ายตายเกิด แต่ตัวตนแท้ของเราไม่ใช่เช่นนั้น เราเองไม่เคยมีโอกาสเห็นอภิญญาอันแท้จริงแห่งจิตเดิมแท้ของเราเลย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ท่านก็สอนในเรื่องการทำงานโดยไม่มี ไม่ว่าจะเป็นการยึดติดในตัวตน หรือติดบุหรี่ ก็ไม่แตกต่างกัน เมื่อได้รับทราบว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตราย ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ยังเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง หรือแม้เริ่มเชื่อแต่ก็ยังแพ้ใจตัวเอง บอกครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่า ก็ยังไม่แจ้งกระจ่างพอในการรู้เท่าทันงผลร้ายของบุหรี่ จนเริ่มป่วย หรือบางคนเพียงมีความรู้เข้าไปซ้ำ ๆ ก็จะเริ่มเห็นจริงและดึงตัวเองออกมาจากการติดบุหรี่ได้ บุหรี่นั้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง แต่พวกเราก็มีความติดข้องในตัวตน โดยไม่รู้ตัว ติดในตัวตนที่ไม่มีจริง ตัวเรามีจริง มีจิตเดิมแท้ มีร่างกายจากธาตุดินน้ำลมไฟ การทำงานของร่างกายเราเชื่อมกับจิตวิญญาณ ประสานกันเป็นพลังงาน ฮอร์โมน เกิดการเชื่อต่อ และหากติดข้องในสิ่งใด ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ไม่ว่าจะเป็นการติดยึดในความสบาย หรือไม่สบาย ทั้งในยีน ฮอร์โมน ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ยากที่จะแยกแยะพิจารณาการติดข้องดังกล่าวนี้ การพิจารณาปรมัตถ์ในโลกบัญญัติต้องอาศัยปัญญาให้เฉียบคมมากขึ้น สร้างเหตุปัจจัยไปเรื่อย ๆ จนจิตใต้สำนึกค่อย ๆ ทำงานจากการฝึกฝนบ่อย ๆ ก็เพื่อการละตัวตนนั่นเอง
ตัวตนที่เรายึดติดนั้นไม่มีอยู่จริง ความเป็น ‘ฉัน’ ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็หายไป มีอยู่เพียงแค่ทุกวินาทีเท่านั้นเอง แต่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้เราไปทุ่มเทชีวิตอันมีค่าเพียงอยู่เพื่อตัวตนอันไม่มีอยู่จริงนั้น ในด้านหนึ่งเราชาวพุทธอาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่า อาศัยรูปบัญญัติ ดูรูปถ่าย ดูรูปปั้น แล้วระลึกว่านั่นคือพระเจ้า เราจะคิดเองได้อย่างไรว่าที่คิดไปนี้ถูกต้องแล้ว เพียงแค่นึกระลึกถึงท่านจะบรรลุธรรม แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง เหมือนกับที่เราจะเชื่อได้อย่างไร ว่าทุกสิ่งเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกัน อย่างตัวเรา หากบอกให้นึกถึงพระกฤษณะ เราคงจะคิดว่าจะเลือกรูปไหนดี หน้าแบบไหนดี ในวัยไหนดี จนกระทั่งพี่แก้มแหม่มได้จอกับโฉลกนี้ จึงเข้าใจ
He, who sees Me everywhere and sees all in Me; I am not lost to him, nor is he lost to Me.
แต่เมื่อพี่แก้มแหม่มศึกษาแล้วเข้าใจก็พบว่า รูปบัญญัตินี้ก็เหมือนอุปกรณ์มือถือที่คอยเชื่อมโยงกับสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ทรงพลังแต่ประสาทรับสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ รับรู้ไม่ได้ มองไม่เห็น เปรียบไปแล้วร่างกายเราเหมือนกับรถเบนซ์ วอลโว่ คอมพิวเตอร์คอม ที่ข้างในมีสิ่งที่ขับเคลื่อนได้ มีบางสิ่งภายในที่ทำให้เกิดการทำงานได้ เราจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ ในร่างกายเราก็จิตเดิมแท้ (Consciousness) เป็นส่วนหนึ่งของพลังสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังการมีอยู่และความเป็นอยู่ของเรา อันเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการมีอยู่ และเป็นอยู่ของจักรวาล พระกฤษณะไม่ได้ระบุว่า เมื่อให้บูชาท่านให้นึกระลึกว่าท่านจะเป็นใคร หน้าตาแบบไหน แต่ให้เห็นท่านอยู่ในทุกตัวคน พระเจ้าอยู่ในทุกชีวิต อยู่ในทุกหนทุกแห่ง ถ้าเราเห็นก็เท่ากับเรามีท่านอยู่ในหัวใจ หากเราเห็น ท่านจะพาเราออกจากมหาสมุทรแห่งมฤตยู
The Yogi who, established in oneness, worships Me abiding
In all beings, lives in Me, he may be active.
บทนี้หมายถึง โยคี (ผู้ปฏิบัติธรรม) ที่มีความเป็นหนึ่งเดียว เคารพบูชาท่านซึ่งสถิตอยู่ในทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่ง ไม้่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน พลังนั้นอยู่กับเราตลอดเวลา แค่ใจเราเปิด พระองค์ก็อยู่กับเราทุกที่ ทุกหนแห่ง เมื่อใจเราเปิด เราจะสัมผัสกับจิตสูงสุดมากขึ้น ๆ
การสั่งสมข้อมูลที่ดี เพื่อเอื้อต่อความเข้าใจ และเข้าถึงว่าพระกฤษณะอยู่ภายในเรา ทำได้โดยการสร้างเหตุปัจจัยด้วยการสวดภควัตคีตา และมีความรู้ที่ถูกต้อง การติดข้องใด ๆ เดิม ๆ ก็จะค่อย ๆ จางคลายหายไป ใจที่รู้ไม่สามารถสร้างเอาได้ กำหนดได้ เราทำได้เพียงสร้าง สะสมเหตุปัจจัยเท่านั้น ถ้าเราสะสมอกุศลมาก ก็จะดึงเราลงที่ต่ำ ธรรมะคือสิ่งที่เมื่อเรากระทำแล้วจะพาเราหลุดพ้น บรรลุธรรม แต่สิ่งใดที่ทำแล้วจิตหยาบมากขึ้น ๆ จิตตกต่ำลง นำสู่อกุศล สิ่งนั้นไม่ใช่ธรรม ยกตัวอย่างคำสอนข้อหนึ่งของภควัตคีตา เช่น การทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน สละตัวตน ก็จะเบาขึ้นจากตัวตนที่เราเคยเข้าใจผิดมาแต่ไหนแต่ไร